เพลงชมแสงจันทร์
เถา
เพลงชมแสงจันทร์ทำนองเดิมเรียกว่า เพลงต้นบรเทศ เป็นทำนองเก่าสมัยอยุธยา ในอัตราจังหวะสองชั้นและชั้นเดียว อยู่ในเพลงสองไม้และเพลงเร็ว
ของเพลงเรื่องเต่ากินผักบุ้ง นายกล้อย ณ บางช้าง ได้นำอัตราจังหวะสองชั้นมาแปลงทางให้เพี้ยนไปจากเดิมโดยให้มีทำนองทิ้งท้ายจังหวะ เริ่มด้วยการขึ้นต้นประโยคเรียงกัน และแยกตรงช่วงท้ายประโยค พร้อมทั้งขยายขึ้นเป็นอัตราจังหวะสามชั้น ส่วนในอัตราชั้นเดียวมีนักดนตรีไม่ทราบนามแต่งตัดครบเป็นเพลงเถา เรียกชื่อว่า “เพลงต้นบรเทศ เถา” ต่อมาหลวงประดิษฐ์ไพเราะ
(ศร ศิลปบรรเลง) ได้แต่งทำนองในอัตราจังหวะสามชั้นขึ้นใหม่ เป็นอีกทางหนึ่งจากเพลงต้นบรเทศ เรียกชื่อว่า “ชมแสงจันทร์ เถา” เป็นเพลงทางกรอ แต่งเมื่อ
พ.ศ. 2478 เพลงชมแสงจันทร์นี้มีทำนองและลีลาแตกต่างไปจากเพลงต้นบรเทศ ต่อมาหลวงประดิษฐ์ไพเราะ
(ศร ศิลปบรรเลง) ได้นำเพลงชมแสงจันทร์ สองชั้น ที่ได้แต่งไว้มาแต่งใหม่ให้มีลีลาสำเนียงจีนเฉพาะอัตราจังหวะสามชั้น โดยแต่งเป็นหางเครื่อง ต่อมาคุณหญิงชิ้น ศิลปบรรเลง แต่งทำนองร้องเพลงนี้เรียกชื่อใหม่ว่า “เพลงชมแสงทอง” บางทีเรียก “อรุณไขแสง”ตามบทร้องที่นำมาจากพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 6 เรื่องศกุณตลา
ที่ขึ้นต้นว่า “แลดูอรุณไขแสง”
บทร้องเพลงชมแสงจันทร์
เถา
3 ชั้น
สวมสอดกอดประทับไว้กับทรวง โอ้เจ้าดวงยิหวาอย่าร้องไห้
ครั้งนี้เป็นกรรมจะจำไกล ถึงพี่ไปไม่ช้านานนัก
พระอุ้มน้องประคองขึ้นบนเพลา พี่แสนทุกข์ด้วยเจ้าเพียงอกหัก
แต่อาวรณ์ถอนจิตแล้วพิศพักตร์ เหมือนจะไกลน้องรักสักร้อยปี
2
ชั้น
มิไปเล่าเขาจะเห็นแยบคาบ จะอุบายมิให้สงสัยพี่
โฉมเฉลาเจ้าค่อยอยู่จงดี อย่าทวีเทวษโศกา
จึงเรียกสองกัลยาเข้ามาสั่ง พี่อยู่หลังระวังขนิษฐา
สั่งเสร็จเสด็จไคลคลา แล้วผันพักตรามาดูน้อง
ชั้นเดียว
กลับมาสวมสอดกอดนางไว้ โอ้กรรมจำใจจะไกลห้อง
พี่พาเจ้ามาไว้ในถ้ำทอง แล้วสลัดซัดน้องไว้เดียวดาย
(อิเหนา พระราชนิพนธ์ ใน ร.2)
***********************************************************************
เพลงระบำเทพบันเทิง
ระบำเทพบันเทิง เป็นระบำที่นายมนตรี ตราโมท ศิลปินแห่งชาติ
และผู้เชี่ยวชาญดุริยางคศิลป์ไทย กรมศิลปากร ประพันธ์บทร้อง และบรรจุทำนองเพลง
ประกอบการแสดงละครในเรื่องอิเหนา ตอนลมหอบ กล่างถึงองค์ปะตาระกาหลา
ผู้ซึ่งเป็นบรมราชอัยการของอิเหนา และบุษบา เมื่อสิ้นพระชนม์แล้ว ได้เสด็จไปอุบัติเป็นเทพราชาสถิตย์อยู่
ณ วิมาณเมฆ บนสวรรค์ มีเทพบุตร และเทพอัปสรฟ้อนรำนี้ต่อมาเรียกว่า ระบำเทพบันเทิง
กรมศิลปากรจัดการแสดงให้ประชาชน ณ โรงละครศิลปากร เมื่อปี พ.ศ.2499
ผู้ประดิษฐ์ท่ารำ คือนางลมุล ยมะคุปต์ ผู้เชี่ยวชาญการสอนนาฏศิลป์ไทย วิทยาลัยนาฏศิลปกรมศิลปากร
นางมัลลี คงประภัศร์ และนางศุภลักษณ์ ภัทรนาวิก (หม่อมครูต่วน)
บทร้องระบำเทพบันเทิง
เหล่าข้อพระบาท ขอวโรกาส เทวฤทธิ์อดิศร
ขอฟ้อนกราย รำร่ายถวายกร
บำเรอปิ่นอมร ปะตาระกาหลา
ผู้ทรงพระคุณ ยิ่งบุญบารมี
เพื่อเทวบดี สุขสมรมยา
เถลิงเทพสีมา พิมามสำราญฤทัย
-สร้อย-
สรุศักดิ์ประสิทธิ์ สุรฤทธิ์กำจาย
ทรงสราญพระกาย
ทรงสบายพระทัย
ถวายอินทรีย์ ต่างมาลีบูชา
ถวายดวงตา
ต่างประทีปจำรัสไข
ถ้อยคำอำไพ
ต่างธูปหอมจุณจันทน์
ถวายดวงจิต
อัญชลิตวรคุณ
ที่ทรงการุณย์
ผองเข้ามาแต่บรรพ์
ถวายชีวัน รองบาทจนบรรลัย
***********************************************************************
เพลงชุดประวัติศาสตร์
อิทธิพลของการสร้างงานวิชาการของครูมนตรี
ตราโมท นั้น ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคมดนตรีไทยอย่างใหญ่หลวง การค้นคว้าวิจัยถึงความรู้ที่เกี่ยวข้องกับดนตรีไทยทั้งในทางประวัติศาสตร์
โบราณคดี วรรณคดี คติชนวิทยา การประยุกต์ความรู้ทาง เพลงชุดประวัติศาสตร์ ในเพลงชุดประวัติศาสตร์นี้ประกอบด้วยกันหลายเพลง
ยกตัวอย่างเช่น เพลงพยายาม เพลงขอมสุวรรณ เพลงน่าเจ้า
เพลงสิบสองจุไทย ฯลฯ เป็นต้น
***********************************************************************
คณะผู้จัดทำ
นางสาวปวันรัตน์ พรหมทอง (3025566004)
นางสาวลักษณ์คณา ศรีสงคราม (3025566007)
นางสาววณิชศรา เรืองแก้ว (3025566008)
นางสาวสุวนันท์ ชูผล (3025566011)
ปริญญาตรีปีที่ 2
เสนอ
อาจารย์สุจิตตรา มินา
รายวิชาปฏิบัติกลุ่ม 3 (จะเข้)
ห้องเรียนเครือข่ายวิทยาลัยนาฏศิลปนครศรีธรรมราช
สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น